WFX กระแสแรง! ปิดจองซื้อไอพีโอ คาดเข้าเทรด SET ภายในธ.ค.นี้ มั่นใจอนาคตสดใส พร้อมขึ้นแท่นผู้นำตลาดโลกภายใน 1-3 ปี - Today Updatenews

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2564

WFX กระแสแรง! ปิดจองซื้อไอพีโอ คาดเข้าเทรด SET ภายในธ.ค.นี้ มั่นใจอนาคตสดใส พร้อมขึ้นแท่นผู้นำตลาดโลกภายใน 1-3 ปี

 บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) หุ้นไอพีโอน้องใหม่กระแสแรงขายหมดเกลี้ยง! มั่นใจอนาคตสดใส หลังเดินหน้าขยายกำลังผลิตตามแผน ช่วยให้ Net margin ปรับตัวดีขึ้นจาก economies of scale อนาคตจ่อขึ้นแท่นผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ของโลกภายใน 1-3 ปี ชูจุดเด่นโปรดักส์หลากหลาย สินค้ากระจายทั่วโลก พร้อมโอกาสการเติบโตจากแผนการเจาะตลาดใหม่ เพิ่มมาร์เก็ตแชร์ หนุนผลงานโตแกร่ง คาดเตรียมเข้าเทรด SET ใน ธ.ค.นี้ 

 


นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของบริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) เปิดเผยว่า ผลจองซื้อหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 142 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท/หุ้น ในราคาหุ้นละ 7.20 บาท ระหว่างวันที่ 9-14 ธ.ค. 2564 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUBB (Pre-emptive Right) และวันที่ 15-17 ธ.ค. 2564 สำหรับประชาชนทั่วไป และนักลงทุนสถาบัน ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคักทั้งนักลงทุนทั่วไปและสถาบัน โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในธันวาคมนี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "WFX" ในหมวดแฟชั่น 

 

“หุ้น WFX ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยมทั้งจากนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานในฐานะผู้นำธุรกิจและผลการดำเนินงานในงวด เดือนแรกของปี 2564 ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 218% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งยังมีโอกาสการเติบโตจากแผนเพิ่มกำลังการผลิต รองรับแผนขยายตลาดใหม่ ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง อีกทั้งผลิตภัณฑ์ยังมีความหลากหลาย และเป็นสินค้าปัจจัยสี่ ทำให้ดีมานด์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ของโลกในอนาคตอันใกล้ ตามแผนงานที่วางไว้ อีกทั้งการกำหนดราคาหุ้นถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม” นายรัฐชัย กล่าว  

 

สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้จำนวนไม่เกิน 142,000,000 หุ้น มีสัดส่วนการเสนอขายหุ้น ดังนี้  

1.ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“TRUBB”) ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUBB (Pre-emptive Right) ไม่เกิน 11,360,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 8.00  

2.กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯไม่เกิน 14,200,000 หุ้น  คิดเป็นร้อยละ 10.00 

3.ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ  ไม่เกิน 18,460,000  หุ้น  คิดเป็นร้อยละ 13.00 

4.บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ไม่น้อยกว่า 97,980,000 หุ้น  คิดเป็นร้อยละ 69.00 

 


นายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ของโลก และจากแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 12,400 ตัน/ปี ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า แบ่งเป็น 2 เฟส ซึ่งเฟสแรกมีกำหนดจะผลิตได้ในช่วงกลางปี 2565 จำนวน 6,200 ตัน/ปี และในเดือนมกราคม 2566 จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 6,200 ตัน รองรับออเดอร์ลูกค้าในต่างประเทศ เพิ่มโอกาสในการก้าวขึ้นสู่ความเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดโลก ภายใน 1-3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 35,000 ตัน/ปี  

 

“ในช่วงที่ผ่านมายอดขายของ WFX เติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี และในอนาคตมีความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตในระดับสูงเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทมีแผนเพิ่มกำลังผลิตอีกราว 35% ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ช่วยให้ Net margin ของบริษัทฯปรับตัวดีขึ้นจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และ economies of scale รวมถึงความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด” 

 


นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (
WFX) ระบุว่าวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้หลังหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์เป็นจำนวนเงินสุทธิประมาณ 998.12 ล้านบาท จัดแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ  1)เป็นเงินทุนในการขยายโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด  350 ล้านบาท ภายในปี 2565 2)ชำระคืนเงินกู้แก่สถาบันการเงิน 400 ล้านบาท ภายในปี 2564 และ 3)เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ 248.12 ล้านบาท ภายในปี 2565 

 

เขากล่าวต่อว่าจากแผนงานและกลยุทธ์เชิงรุก (Growth Strategy) ในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในเอเชียใต้ บังคลาเทศ ปากีสถาน เยอรมนี อิตาลี รัสเซีย บราซิล อาเจนตินา และชิลี รวมถึงชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่ง จากความได้เปรียบในด้านต้นทุนยางพาราธรรมชาติที่ถูกกว่าคู่แข่ง เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงวด เดือนแรกของปี 2564 ที่ Net Profit ของบริษัทเติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว 218% จากแผนงานและกลยุทธ์ที่วางไว้ ประกอบกับการขยายกำลังการผลิตในช่วงต้นปี 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad