2 เกษตรกรโคนมสุดปลื้ม คว้าถ้วยพระราชทานชนะเลิศประกวดโคนม
รัชกาลที่ 10 และถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สำหรับปี 2563
นี้ ประเภทที่ 5 โคนมมากท้องแรก อายุไม่เกิน 28 เดือน เกษตรกรที่รับรางวัลชนะเลิศ
รับถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้แก่โคนมของนายสุชาติ ทองแย้ม สังกัด จากสหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จำกัด ให้ผลผลิต 40.69 กก./วัน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่โคนมของ นายสุภาสิต สูบกำปัง
สังกัด ชมรมผู้ส่งโคนมเข้าประกวด ให้ผลผลิต 34.88
กก./วัน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ
2
ได้แก่ โคนมของ นายสุภาสิต สูบกำปัง สังกัด ชมรมผู้ส่งโคนมเข้าประกวด ให้ผลผลิต 33.31 กก./วัน รางวัลชมเชยอันดับ 1 ได้แก่โคนมของ นายสุพัทร์ ทองสนิท
สังกัด บริษัท ราชาแดรี่ จำกัด ให้ผลผลิต 32.45
กก./วัน รางวัลชมเชยอันดับ
2
ได้แก่โคนมของ นายสุชาติ ทองแย้ม สังกัด สหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จำกัด ให้ผลผลิต 31.92 กก./วัน
ส่วนประเภทที่
6
โคนมมากไม่จำกัดอายุ
ผู้ที่รางวัลชนะเลิศ
รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ได้แก่โคนมของ นายสุภาสิต สูบกำปัง สังกัดชมรมผู้ส่งโคนมเข้าประกวด ให้ผลผลิต 50.49 กก./วัน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 ได้แก่ โคนมของ นายสุภาสิต
สูบกำปัง สังกัด ชมรมผู้ส่งโคนมเข้าประกวด ให้ผลผลิต 48.47 กก./วัน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ2 ได้แก่โคนมของ นายจิรัชยา ทองสนิท
สังกัด บริษัท ราชาแดรี่ จำกัด ให้ผลผลิต 46.73
กก./วัน รางวัลชมเชยอันดับ 1 ได้แก่โคนมของ นายสุภัทร ทองสนิท
สังกัด บริษัท ราชาแดรี่ จำกัด ให้ผลผลิต 42.61
กก./วัน และรางวัลชมเชยอันดับ 2 ได้แก่โคนมของ นางสาวสุพรรณา นวลใย
จากสหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จำกัด ให้ผลผลิต 42.01
กก./วัน
สำหรับปีนี้ อ.ส.ค.ได้จัดให้มีการประกวดโคนมดีเด่น
7 ประเภท
ได้แก่ ประเภทที่ 1
โคนมอายุ 12-15 เดือน ประเภทที่ 2 โคนมอายุ 15-18 เดือน ประเภทที่ 3 โคนมอายุ 18-21 เดือน ประเภทที่ 4 โคนมอายุ 21-24 เดือน (ต้องไม่ผ่านการรีดนม)
ประเภทที่ 5 โคนมมากท้องแรกอายุไม่เกิน 28 เดือน (ด้านผลผลิต) ประเภทที่ 6 โคนมมากไม่จำกัดอายุ
(ด้านผลผลิต) และประเภทที่ 7 โคนมอายุมากกว่าอายุ 24 เดือน (ด้านรูปร่าง)
โดยหลักเกณฑ์ในการส่งโคนมเข้าประกวดหลักๆ
จะต้องเป็นโคนมที่เกิดในประเทศไทยเท่านั้น
อายุโคนับถึงวันที่ 16 มกราคม 2563 และโคนมทุกตัวที่เข้าประกวดจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อยไม่เกิน
3เดือน ปลอดจากโรคบลูเซลโลซีสและวัณโรค มีใบรับรองพันธุ์ประวัติ โดยได้รับการับรองจากสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม ปศุสัตว์อำเภอและปศุสัตว์จังหวัดหรือหน่วยงานที่
อ.ส.ค. เห็นชอบ และสุดท้ายห้ามส่งโคนมเข้าประกวดข้ามรุ่น ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อแสดงความสามารถในการปรับปรุงพันธุ์โคนม
และแสดงศักยภาพในการให้ผลผลิตน้ำนมดิบของโคนมไทยจากเกษตรกรไทย
ดร.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวอีกว่า
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่ออาชีพการเลี้ยงโคนม
โดยมีนโยบายที่จะพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงโคนมอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาสู่อาชีพที่มั่นคง
ซึ่งการประกวดโคนมสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมนั้น นอกจากช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพันธุ์โคนม
บริหารจัดการฟาร์มโคนมที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยสร้างศักยภาพความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
ทั้งด้านพัฒนาประสิทธิภาพของปริมาณการผลิตน้ำนมดิบและคุณภาพน้ำนมดิบที่ อ.ส.ค. มุ่งพัฒนาและขับเคลื่อนเพื่อยกระดับการผลิตน้ำนมดิบให้ได้มาตรฐานรองรับการแข่งขันในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมในและต่างประเทศ
และเพื่อขับเคลื่อนสู่ยุทธศาสตร์นมแห่งชาติอีกด้วย
“ปัจจุบันประเทศไทยมีอุตสาหกรรมโคนมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
มีโคนมมากกว่าหกแสนตัว
กว่าครึ่งเป็นแม่โครีดนมกระจายอยู่ในทุกภาคของประเทศ
กำลังการผลิตน้ำนมดิบไม่ต่ำกว่า 1,264,000 ตัน สำหรับ
อ.ส.ค.รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรประมาณ 20% ของทั้งประเทศ
โดยน้ำนมดิบส่วนใหญ่ 90% ถูกส่งป้อนตลาดนมพาณิชย์ และ 10% สำหรับโครงการอาหารเสริม (นม)โรงเรียน มีเกษตรกรที่เป็นสมาชิกทั้งหมด 4,861 ราย และเป็นเกษตรกรที่ส่งน้ำนมดิบให้กับทาง อ.ส.ค. จำนวน 3,868 ราย มีปริมาณโคนมรวมกว่า 130,989 ตัว ซึ่ง อ.ส.ค.
มีเป้าหมายเร่งพัฒนาองค์ความรู้และเพิ่มทักษะการเลี้ยงโคนมให้กับเกษตรกรสมาชิก
มุ่งส่งเสริมให้เป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ (Smart Farmer) ตามนโยบายกระทรวงเกษตรฯ
คาดว่าจะสามารถช่วยยกระดับฟาร์มโคนมให้ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์ม (GAP) เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20% ซึ่งจะทำให้ได้น้ำนมดิบที่มีคุณภาพมาตรฐาน
พร้อมลดต้นทุนการผลิตลงทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรมีความมั่นคงและยั่งยืนในการประกอบอาชีพด้วย
นอกจากนี้
ในแผนแม่บทส่งเสริมการเลี้ยงโคนม 4.0 ระยะ 5ปี (2560-2564) ของ อ.ส.ค.
ยังมีเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมของประเทศ
รวมทั้งพัฒนาเกษตรกรในพื้นที่ส่งเสริมของ อ.ส.ค. ได้ผลผลิตน้ำนมโคเพิ่มขึ้นจาก 12.80 กิโลกรัม/ตัว/วัน
เป็น 15.57 กิโลกรัม/ตัว/วันภายในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4% ต่อปี
และจำนวนฟาร์มโคนมของเกษตรกรสมาชิกมีคุณภาพน้ำนมดิบสูงขึ้นจากเดิมปีละ10% โดยวัดจากค่าเซลล์เม็ดเลือดขาวหรือโซมาติกเซลล์ (SCC) ไม่เกิน 400,000 เซลล์/มิลลิลิตร
และปริมาณของแข็งทั้งหมด (TS) ไม่น้อยกว่า 12.50%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น