ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจซบเซา
กำลังซื้อผู้บริโภคหดตัว ภาวะการใช้เม็ดเงินโฆษณาที่ถดถอยและกระแส Disruption ที่ถาโถมใส่ทุกธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ ธุรกิจเพลง
ที่ได้รับผลกระทบหนักทั่วโลกเช่นกัน แต่สำหรับ “จีเอ็มเอ็ม
มิวสิค” สามารถฝ่าวิกฤตและสร้างการเจริญเติบโต แบบสวนกระแสทำรายได้รวมสูงถึง
4,014 ล้านบาท มากที่สุดในรอบ 10 ปี มีกำไร 472 ล้านบาท
คิดเป็นอัตราการเติบโตกำไรที่ 13.2%
ซึ่งความสำเร็จของ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ในครั้งนี้ได้แรงส่งสำคัญจาก
3 กลุ่มธุรกิจหลัก ที่ถือได้ว่าเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญของแหล่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งชี้ถึงโอกาสของการเจริญเติบโตในระยะยาว ประกอบด้วย
-
ธุรกิจ Digital Music เติบโตสูงถึง 31% และมียอดรายรับสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งแผนก ทะลุ
1 พันล้านบาทเป็นครั้งแรกโดยมีรายรับที่ 1,123 ล้านบาท
-
ธุรกิจ Showbiz เติบโตขึ้น 36% มีอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจเพลง
โดยมียอดรายรับที่ 524 ล้านบาท
-
ธุรกิจการบริหารลิขสิทธิ์
เติบโตขึ้น 25% และมียอดรายรับที่ 313 ล้านบาท สูงที่สุดตั้งแต่ได้ทำการบริหารจัดการ
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ในปี 2562 ประกอบด้วย
-
ธุรกิจ Sponsorship & Artist Management มีรายได้ 1,408
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 35% ของธุรกิจ
-
ธุรกิจ Digital Music มีรายได้ 1,123 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 28% ของธุรกิจ
-
ธุรกิจ Showbiz มีรายได้ 524 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วน 13% ของธุรกิจ
-
ธุรกิจ การบริหารลิขสิทธิ์
มีรายได้ 313 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8% ของธุรกิจ
-
ธุรกิจ Trading มีรายได้ 301 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7%
ของธุรกิจ
-
ธุรกิจ อื่นๆ
มีรายได้ 345 ล้านบาท คิดเป็นส่ดส่วน 9% ของธุรกิจ
บันได 3 ขั้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค
บันไดขั้นที่ 1 Restructure - Refocus - Restabilize
บันไดขั้นที่ 2 Build - Invest - Aggregate
บันไดขั้นที่ 3 Infrastructure
- Recurring - Sustainable
(บันไดทุกขั้นมี 3 เรื่องหลักที่ต้องทำเสมอ)
บันไดขั้นที่ 1 ในการนำพาธุรกิจให้เติบโตและสำเร็จตามเป้าหมาย
ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ 3 ส่วน
Restructure (การปรับโครงสร้าง) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนฐานธุรกิจ ซึ่งจะต้องมีการปรับโครงสร้างที่ถูกต้องและมีผู้คนที่ถูกต้องในการปรับโครงสร้าง
ซึ่งการปรับนี้ไม่ได้แปลว่าเห็นคนใหม่ดีกว่าคนเก่า
แต่การปรับโครงสร้างคือการสร้างความร่วมมือระหว่างความเชี่ยวชาญเดิมและความเชี่ยวชาญใหม่เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด
มี Function ที่ชัดเจนเอื้อต่อยุทธศาสตร์ทางธุรกิจและสามารถเดินร่วมกันไปสู่ความสำเร็จที่เป็นไปได้
Refocus (การทำสิ่งเดียวให้ดีที่สุด) เป็นการส่งเสริมและจัดระบบให้ทีมงานทำในสิ่งที่สำคัญและขับเคลื่อนองค์กร
โฟกัสสิ่งเดียวทำให้ดีที่สุด เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อไม่ให้ธุรกิจเดินทางคลาดเคลื่อนจากเป้าหมายที่วางไว้
Restabilize (การสร้างเสถียรภาพของรายได้) ในการปรับโครงสร้างองค์กร
เราต้องมั่นใจว่าเราจะต้องมีเสถียรภาพทางด้านรายได้และกำไรที่เติบโตเดินเคียงคู่กันอย่างมั่นคง
การบริหารธุรกิจที่มีอยู่ให้เติบโตและการหาแหล่งรายได้ใหม่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้อง
Balance มีการวัดผลที่ชัดเจน เหมือนที่ได้เห็นการเติบโตของธุรกิจ Digital Music ธุรกิจ Showbiz และธุรกิจการบริหารลิขสิทธิ์
วันนี้ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค พร้อมแล้วที่จะเล่าถึงบันไดขั้นที่ 2 (Build - Invest - Aggregate) ที่มี 7 ยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อน
เราเชื่อว่าธุรกิจเพลงจะยั่งยืนเติบโตได้ในยุคนี้ต้องมีทั้งคุณภาพ
(Quality) และมีขนาดปริมาณที่ใหญ่เพียงพอ
(Scale) คุณภาพเป็นสิ่งที่เราโฟกัสมาตลอดการทำงานมากว่า 36 ปี แต่หากพูดถึงธุรกิจแห่งอนาคต เราจำเป็นจะต้องมีจำนวนในปริมาณที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน
จึงจะสามารถทำให้ธุรกิจเติบโตได้ทันท่วงทีในกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต ซึ่งคำว่าปริมาณที่ว่านั้นจะต้องครอบคลุมทุก
Segment ทุกรูปแบบอีกด้วย
ดังนั้น 7 ยุทธศาสตร์ในบันไดขั้นที่ 2 นี้จึงเป็นแผนแม่บทที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า (2020 - 2025) ซึ่งประกอบไปด้วย
1.New Content Strategy & New Artist
Development
จีเอ็มเอ็ม มิวสิค มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้อุตสาหกรรมเพลง
มีความคึกคัก เจริญก้าวหน้าและสามารถมอบความสุขให้กับสังคม โดยนโยบาย 5 ปีต่อจากนี้
เราจะเน้นที่ 2 เรื่องหลักคือ
- New Content Strategy การสร้างศิลปินและแนวเพลงให้มีประสิทธิภาพทุกหมวดหมู่
ครอบคลุมทุก Segment การลงทุนทำ Full album จะถูกนำกลับมาทำอย่างเต็มรูปแบบ ทุกแนวเพลงดนตรี โดยแบ่งเป็น Mega
album และ Digital album ซึ่งการทำ Full
album ดังกล่าวบริษัทไม่ได้ยึดติดการทำแต่ศิลปินเฉพาะในจีเอ็มเอ็ม มิวสิค แต่หมายถึงความสามารถในการร่วมมือได้กับศิลปินทุกค่ายทั้งตลาดด้วย
Business Model ที่เป็นธรรมและมีความยืดหยุ่นในการบริหารลิขสิทธิ์
นอกจาก Segment POP, Rock, ลูกทุ่ง และ Indie แล้ว เราจะเพิ่ม Sub
Segment อย่างเช่น Original Sound Track ให้กับละครและภาพยนตร์ทั้งตลาด
เปิด Segment Big name, Teen Idol, Superstar และ Hip
Hop
- New Artist Development การสร้างศิลปินใหม่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า
300 ล้านบาท เพื่อ Recruit Develop และออก Album ให้กับศิลปินรุ่นใหม่ ทั้งนี้ จีเอ็มเอ็ม
มิวสิค จึงมีแผนการที่จะร่วมมือกับบริษัทพัฒนาศิลปินระดับโลกเพื่อยกระดับคุณภาพให้กับศิลปินรุ่นใหม่ให้มีทักษะและความสามารถที่สามารถแสดงผลงานได้ในระดับสากล
2.Showbiz Expansion
ขยายธุรกิจ Showbiz อย่างไร้ขีดจำกัด
โดยเราสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบของการขยาย ได้ดังนี้
- ขยายธุรกิจ Music
Festival ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ยุทธศาสตร์ ทุกภาค ทั่วประเทศ
- ขยายธุรกิจ Solo
Concert ครอบคลุมทั้งศิลปินปัจจุบันที่มีความพร้อม ศิลปินหน้าใหม่ที่ต้องการโอกาสและศิลปินกลุ่มโทรที่มีแฟนคลับเหนียวแน่น
- ขยายธุรกิจ Theme Concert ด้วยการร่วมมือกับ Creator ใหม่ๆที่มาจากอุตสาหกรรมต่างๆที่หลากหลาย
- ขยายธุรกิจสู่การเป็น
Promoter ในการจัด International
Showbiz ในประเทศไทย
เรามั่นใจว่าธุรกิจ Showbiz ของ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค สามารถยืนหนึ่งในการเป็นผู้นำในตลาด Showbiz ได้อย่างมั่นคง
และยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากการที่เรามีศิลปินและแฟนคลับที่มีคุณภาพแล้ว เรายังมีทีมงานที่มีคุณภาพที่หาตัวจับได้ยากเช่นกัน
- เรามีทีมการตลาดที่แข็งแรงที่สุดในตลาด
โดยโฟกัสแต่การทำธุรกิจ Showbiz เพียงอย่างเดียวจึงมีความเชี่ยวชาญทั้งการวางยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง การตั้งราคาที่เหมาะสมและการหาจุดต่างในการแข่งขัน
- เรามีทีม Marcom ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Social Media มีความเข้าใจในเรื่องของ
Community Insight ในทุก Social Platform เป็นอย่างดี ทำให้เราตอบสนองแฟนคลับได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมือนคนรู้ใจที่ใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม
เราพร้อมเสมอที่จะร่วมมือกับทุก Partner หรือทุกค่ายเพลงต่างๆในการจัด Concert
เพราะ Backbone ของ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค สามารถเป็นประโยชน์ที่จะสร้างความสำเร็จให้กับทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรม
สามารถเติบโตไปได้ด้วยเช่นกัน
การสร้างสินค้าศิลปินนั้นต้องพูดให้ชัดเจนเลยว่าสินค้าที่พูดอยู่นี้ไม่ใช่
Merchandising แต่เป็นสินค้าผลิตภัณฑ์ของศิลปินที่ศิลปินเป็นเจ้าของจริงๆได้รับกำไรขาดทุนจริงๆ
โดยที่มีจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เป็นผู้ลงทุน ซึ่งจะทำการเปิดตัวบริษัทใหม่ในเร็ววันนี้
ที่สำคัญการสร้างผลิตภัณฑ์นี้จะโฟกัสเฉพาะศิลปินที่อยู่ภายใต้สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
เท่านั้น โดยที่ผ่านมาได้ทำการทดลองออกสินค้าศิลปินไปแล้ว 1 ตัวเมื่อปีที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม
และปีนี้จะต่อยอดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องโดยการออกสินค้าใหม่อีก 4SKUs ซึ่งคาดว่าการเติบโตของธุรกิจประเภทนี้จะสามารถทำตัวเลข 9 หลัก ได้ภายใน 2 ปี
4.Industry Aggregation
เดินหน้า Aggregate รวบรวมพันธมิตรในวงการเพลงเพื่อสร้างประโยชน์ทางรายได้จากทุกช่องทางการค้าร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็น ช่องทาง Digital Platform, Karaoke Platform หรือการสร้างโปรเจกต์ร่วมกันก็ได้
ซึ่งการ Aggregate นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยปัจจุบันทางจีเอ็มเอ็ม
มิวสิค ได้ร่วม Aggregate กับค่ายเพลงต่างๆเกือบทุกค่ายแล้วเพียงแต่จะอยู่ในธุรกิจของการทำ
MP3 เพียงเท่านั้น ฉะนั้นการเดินหน้าจับมือกับทุกค่ายเพลงก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ในการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันและยังสามารถสร้างรายได้ที่สูงขึ้นให้กับค่ายเพลงทุกค่าย
5.Media Partnership
ปีนี้เราจะร่วมมือกับสื่อชั้นนำทั่วประเทศแบบครบวงจร รวมถึง Platform รายใหญ่เพื่อการขยายฐานการเข้าถึงและการรับรู้ทั่วประเทศ
ไม่ว่าจะเป็น สื่อทีวี, สื่อวิทยุ, สื่อ Outdoor และสื่อโรงภาพยนตร์
6.M&A
Mergers &
Acquisitions เป็นแผนยุทธศาสตร์การเข้าซื้อกิจการที่สามารถสร้างโอกาสในการเกิด
Leap Growth เพื่อการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดทางธุรกิจ
โดยบริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนในอุตสาหกรรมต่างๆที่จะเข้าซื้อภายในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้
7.Data Creativity
ปัจจุบัน จีเอ็มเอ็ม
แกรมมี่ พัฒนาเรื่องของการทำ Data และมีทีม Data Scientist ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเพลงโดยเฉพาะ
เรามองเรื่องของ Data ในมุมของความสร้างสรรค์มากกว่าแค่เพียงสถิติและความเป็นไปได้
เราสามารถหยิบเรื่องของ Data มาสร้างสรรค์โอกาสมากมายในการทำการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและเรากำลังจะเดินเข้าไปสู่ในเรื่องของการทำ
Personalization เพื่อทำให้เกิด New Product Experience
มากขึ้น เรื่องของ Data Prediction ถูกนำมาใช้ในการคำนวณโอกาสของการสร้างเพลงฮิต การสร้าง Concert ที่น่าจะ Sold out หรือการสร้างยอดขายของ Merchandising
ที่แม่นยำ เป็นรูปธรรม แถมยังสามารถเข้าใจและวิเคราะห์ความเชื่อมโยงต่อการตัดสินใจซื้อของแฟนคลับ
รวมถึงเรื่องพฤติกรรมของแฟนคลับที่ชื่นชอบศิลปินมากกว่า 1 คน หรือ Brand สินค้าและ Media ที่แฟนคลับศิลปินชื่นชอบ
จึงทำให้เกิดประโยชน์และก่อให้เกิดการซื้อขายทั้งระบบการค้า
ทั้งหมดเป็นกลยุทธ์
7 ด้านที่พร้อมจะทำให้จีเอ็มเอ็ม
มิวสิค สามารถสร้างการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนได้ โดยยุทธศาสตร์ทั้ง 7 ด้านนั้น มีรายละเอียดที่ซับซ้อนอีกมาก
ซึ่งทางจีเอ็มเอ็ม มิวสิค จะทยอยเปิดตัวให้สื่อมวลชนได้ทราบรายละเอียดของแต่ละหัวข้อในลำดับถัดไป
นายภาวิต จิตรกร
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
จำกัด (มหาชน)
ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถึงแม้วันนี้เราจะมียอดการเจริญเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่องมาตลอด
3 ปีติด
แต่เราจะไม่ประมาทโดยเด็ดขาด เพราะคุณไพบูลย์ ได้ย้ำถึงหลักคิดหนึ่งที่ว่า “อย่าผูกขาดรสนิยม
อย่าย่ามใจในความสำเร็จ” สิ่งที่เราเฝ้าระวังจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ
Disruption หรือเรื่องธุรกิจ
แต่เป็นเรื่องของ “คน”
เราเป็น People Business เราจะสำเร็จได้ล้วนต้องมีคนเก่งอยู่รอบตัวที่มีความสามารถ
มีแรงใจ มีความกระหาย เราต้องคอยสังเกตการณ์และส่งเสริมศักยภาพของคนทำงาน
บริษัทจะมีความเป็นเลิศได้ ทุกยุทธศาสตร์ที่วางไว้เป็นแค่เพียงความคิด คำพูด หรือเพียง
Presentation ในห้องประชุมเท่านั้น เป้าหมายจะสำเร็จลุล่วงได้ต้องมีคนที่มีความสามารถลงมือทำ
ฉะนั้น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นจึงไม่ใช่แค่ความสำเร็จของบริษัท
แต่เป็นความสำเร็จของคนทุกคนในบริษัทต่างหาก เราจึงจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น